วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บทที่ 5
ความสำนึกและการแสดงออก
ต่อการนับถือศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ
“มนุษย์ทำอะไรต่อศาสนา?”

ในฐานะที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล จึงมีทั้งส่วนที่เหมือนและพิเศษต่างจากสัตว์ทั่วไป มนุษย์มีทั้งส่วนที่เรียกว่าสัญชาตญาณและสติปัญญา แสดงออกด้วยความอยาก อารมณ์ ความรู้สึกและการใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิตประจำวัน สัญชาตญาณเรียกร้องให้มนุษย์ต้องออกแรงเพื่อได้อาหารและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ในการบำรุงเลี้ยงตนเองและบุคคลรอบข้าง ในขณะเดียวกัน สติปัญญาทำให้มนุษย์ต้องคิด ตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ เรียกร้องให้มนุษย์ออกจากตนเองสู่โลกกว้าง หาความจริงของสิ่งต่าง ๆ พยายามหาคำตอบเพื่อความสงบสุข ความมั่นคงและความรอดพ้นของชีวิต ความสำนึกและการแสดงออกของมนุษย์ในการนับถือศาสนามีพื้นฐานมาจากธรรมชาติมนุษย์ที่มุ่งสู่ความจริงเพื่อการดำรงชีวิตและมุ่งสู่ความรอดพ้นอันเป็นจุดหมายของชีวิต มนุษย์ตระหนักถึงความจำกัดของตนเองและปรารถนาที่จะมุ่งสู่อุตรภาพ (Transcendent) เพื่อจะได้บรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์

ความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับความเป็นจริงสูงสุด (Absolute reality) หรืออุตรภาพของสิ่ง/ ความศักดิ์สิทธิ์ (Transcendence of the holy) ที่เป็นเป้าหมายชีวิต (ภาวะที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์ ไม่ต้องตกในวงเวียนชีวิตแห่งความทุกข์อีกต่อไป) ความเข้าใจถึงคุณค่าและความหมายของศาสนา มโนคติเกี่ยวกับพระเจ้า (ความเป็นจริงสูงสุด) ที่ได้นำเสนอไปแล้วในบทก่อนหน้า ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญต่อความสำนึกและการแสดงออกของมนุษย์ในการนับถือศาสนาในรูปแบบต่างๆ

1. การวิเคราะห์แนวคิดในการอธิบายความจริงของศาสนา

จาเรส เอส. มอร์ (Moore cited in William, 1976) ได้วิเคราะห์แนวคิดในการอธิบายคุณค่า ความหมายของศาสนา และแยกประเภทแนวคิดในการอธิบายมโนภาพของศาสนาไว้สามแนวทาง ได้แก่



1.1 แนวคิดที่อธิบายว่า ความจริงในศาสนาเป็นคุณค่าด้านความรู้-เข้าใจ
(Intellectualistic conceptions) : ศาสนา คือ ศาสตร์

1.1.1 ความหมาย

หมายถึง แนวคิดที่ใช้ความจริงทางศาสนาเพื่อตอบสนองความรู้ ความเข้าใจของสติปัญญามนุษย์ แนวคิดในกลุ่มนี้ อธิบายความจริงในศาสนาว่าเป็นการอธิบายสรรพสิ่ง/จักรวาล และความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสรรพสิ่งรอบตัว แนวคิดนี้มองศาสนาว่ามีลักษณะเป็นศาสตร์ (Science) ที่อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ เพื่อรู้ถึง “กฎธรรมชาติ” (Natural laws) และคุณลักษณะพิเศษของมนุษย์ที่แตกต่างจากสัตว์อื่นๆ ทำให้เข้าใจว่าต้องมีความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า) ที่เป็นพื้นฐานและสร้างสรรพสิ่ง มนุษย์เป็นสิ่งสร้างพิเศษที่มีความสัมพันธ์กับความเป็นจริงสูงสุดนั้น (Men as children of a Divine Father) ศาสนาจึงมีคุณค่าในระดับสติปัญญา เพื่อตอบสนองปัญหาเรื่องการอธิบายความจริงต่อการมีอยู่ของสรรพสิ่งและคุณลักษณะพิเศษของมนุษย์ ศาสนาเป็นศาสตร์หนึ่งของมนุษย์ในการเข้าใจและอธิบายความจริง

1.1.2 การวิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับความจริงของศาสนา

จะเห็นได้ว่าการอธิบายศาสนาตามแนวคิดของกลุ่มนี้ มีผลกระทบต่อความจริงของศาสนาโดยตรง (โดยเฉพาะศาสนาแนวเทวนิยม) เนื่องจากศาสนา เป็นระบบของความคิดเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นจริงสูงสุด/พระเจ้า และความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อความเป็นจริงสูงสุด (ศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถบรรลุถึงได้) ที่นำสู่วิถีการดำเนินชีวิต (A way of living) สู่ความรอดพ้น ในขณะที่ลักษณะสำคัญของศาสตร์ (Science) โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ คือ ระบบความรู้เข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติและความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นลักษณะที่อยู่กันคนละบริบท ถ้าเรายึดการอธิบายตามแนวคิดนี้ (มองศาสนาเพียงแค่ในฐานะเป็นศาสตร์ ที่เน้นความรู้ ความเข้าใจ) จะเป็นการลดทอนคุณค่าของศาสนาให้อยู่แค่ระดับความรู้ ความเข้าใจ ศาสนาจะเป็นเพียงแค่ระดับ “ชีวิตมนุษย์” ที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางความคิด และไม่ได้ตั้งบนพื้นฐานของสิ่งที่ต้องเชื่อในศาสนา (The creed)

1.1.3 ท่าทีการนับถือศาสนา : การถือศาสนาตามอัธยาศรัย

แนวโน้มของความสำนึกและการแสดงออกในการนับถือศาสนาของผู้มีแนวคิดว่าศาสนาเป็นการปัญหาของสติปัญญา ความจริงของศาสนายังคงมีคุณค่าตราบใดก็ตามที่วิทยาศาสตร์ยังตอบไม่ได้ ท่าทีการนับถือศาสนาจึงแสดงออกในลักษณะยอมรับและปฏิบัติตามหลักของศาสนาเฉพาะที่รับรู้และพิสูจน์ในระดับวิทยาศาสตร์ ส่วนหลักคำสอนของศาสนาที่ดูเหมือนไม่ตรง ขัดแย้งและเข้ากันไม่ได้กับวิทยาศาสตร์ ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนดังกล่าว ซึ่งผู้เขียนขอสรุปด้วยคำสั้นๆ ว่า “การถือศาสนาตามอัธยาศรัย” เน้นความสนใจและถือศาสนา เฉพาะเรื่องที่ตนสนใจต่อหลักคำสอนและแนวปฏิบัติของศาสนาเท่านั้น

1.2 แนวคิดที่อธิบายว่า ศาสนาเป็นคุณค่าด้านสุนทรียะ (Aesthetic conceptions) : ศาสนา เป็นปฏิกิริยาร่วมกันของมนุษย์ที่แสดงออกเมื่อเผชิญหน้ากับสรรพสิ่ง

1.2.1 ความหมาย

หมายถึง แนวคิดที่อธิบายความจริงของศาสนาว่าเป็นทัศนะทางสุนทรียะที่มนุษย์มีต่อสรรพสิ่งรอบตัว (Universe) โดยมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ (Emotional reaction) มาเกี่ยวข้อง ภายใต้การแสดงออกมาภายนอกของคุณลักษณะด้านจิตใจมนุษย์ ดังที่ Richard M. Bucke (cited in William, 1976) เรียกว่า “ความสำนึกรู้ต่อจักรวาล” (Cosmic consciousness) ซึ่งมนุษย์มีปฏิกิริยาร่วมกันในส่วนรวม การอธิบายศาสนาตามแนวคิดนี้จึงเน้นปฏิกิริยาร่วมกันของมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความจริงในศาสนาจึงเป็นเรื่องส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนบุคคล

1.2.2 การวิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับความจริงของศาสนา

การอธิบายศาสนาตามแนวคิดนี้จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อประสบการณ์ส่วนบุคคล ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความเป็นจริงสูงสุด จึงเป็นเรื่องส่วนรวม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณค่าของศาสนาในฐานะเป็นความเชื่อศรัทธาของบุคคลต่อความเป็นจริงสูงสุด

1.2.3 ท่าทีการนับถือศาสนา : การถือศาสนาแต่เพียงระดับพิธีการ

แนวโน้มของความสำนึกและการแสดงออกในการนับถือศาสนาของผู้มีแนวคิดแบบนี้ เป็นลักษณะยึดธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมเป็นหลัก การปฏิบัติตามคำสอนและแนวปฏิบัติของศาสนาเป็นเพียงมารยาททางสังคม ถือศาสนาตามจารีต ประเพณีที่ได้รับถ่ายทอดสืบต่อกันมา โดยเน้นพิธีการเป็นหลัก




1.3 แนวคิดที่อธิบายว่า ศาสนาเป็นคุณค่าด้านจริยะ (Ethical conceptions)
: ศาสนา คือ หลักการดำเนินชีวิตในสังคม

1.3.1 ความหมาย

หมายถึง แนวคิดที่อธิบายว่าความจริงทางศาสนา เป็นทฤษฎีหรือหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง (Right living) ในสังคม ดังที่ Edward Scribner Ames (cited in William, 1976: 34) อธิบายว่าความจริงของศาสนาเป็น “ความพยายามที่มุ่งไปสู่คุณค่าสูงสุดของสังคม” แนวคิดนี้เน้นบทบาทของความจริงทางศาสนาในฐานะเป็น “หลักปฏิบัติ” เพื่อเกิดสันติสุขในการดำเนินชีวิตท่ามกลางสังคม เน้นหลักปฏิบัติทางศีลธรรม ซึ่งค่อยๆ พัฒนาสู่แนวคิด “มนุษยนิยม” (Humanism) ซึ่งเริ่มในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป (Renaissance , ค.ศ. 1500 – 1600) ที่พิจารณาความจริง/ความรู้ด้วยการเริ่มต้นจากการพิจารณาชีวิตมนุษย์เป็นศูนย์กลางความคิดเข้าใจความจริง เนื่องจากมนุษย์ไม่อาจรู้ความจริงได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงควรใส่ใจเฉพาะความจริงที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตมนุษย์เท่านั้นก็พอแล้ว ดังที่ Elmer More (1932, cited in William, 1976: 34) เสนอว่าให้สนใจพิจารณาความจริงที่ยึดมนุษย์เป็นหลัก “เนื่องจากมนุษย์เป็นความสำนึกรู้ในตนเอง, เป็นภวันต์ที่ดำเนินชีวิตอยู่จริง สามารถเรียนรู้สู่อัตลักษณ์ของตนได้” มนุษย์จึงควรใส่ใจเฉพาะความจริงที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ชีวิตของตนเป็นหลัก

1.3.2 การวิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับความจริงของศาสนา

การอธิบายศาสนาตามแนวคิดดังกล่าวนี้ สนใจเฉพาะความจริงของมนุษย์ในลักษณะ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” (The here and now) กล่าวคือ เน้นมนุษย์เฉพาะสถานการณ์ที่จำเป็นในขณะดำเนินชีวิตอยู่ จะสนใจสิ่งต่างๆ หรือภาวะที่เหนือธรรมชาติก็เฉพาะที่จำเป็นต้องนำมาอ้างอิงหรือนำมาใช้กับชีวิตประจำวันเท่านั้น จึงทำให้เข้าใจได้ว่าความจริงทางศาสนาเป็นเพียงหลักการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในปัจจุบัน และยึดมนุษย์เป็นหลักของความจริงในศาสนาเท่านั้น

1.3.3 ท่าทีการนับถือศาสนา : การถือศาสนาตามลายลักษณ์อักษร

แนวโน้มของความสำนึกและการแสดงออกของการนับถือศาสนาของผู้มีแนวคิดแบบนี้ จะเน้นกฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับตามตัวอักษร เพราะทำแล้วสบายใจ ถ้าไม่ทำจะส่งผลให้เกิดความกลัวว่าจะถูกลงโทษตามที่ศาสนาสอน หลักคำสอนและหลักปฏิบัติของศาสนาเป็นเครื่องรับประกันจิตใจว่าจะมีความมั่นคงและสงบสุขในชีวิต แม้ชีวิตปัจจุบันจะเผชิญปัญหาและอุปสรรคชีวิตบ้าง แต่ทุกอย่างจะคลี่คลายในทางที่ดีแก่ผู้ศรัทธาภักดีด้วยการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของศาสนาอย่างเคร่งครัด


ดังนั้น จากแนวคิดทั้งสามแนวที่เสนอและอธิบายความจริงทางศาสนา ด้วยการจำกัดกรอบของศาสนาแต่เพียงระดับของทฤษฏีความรู้ (ศาสตร์) ความสำนึกร่วมกันทางสังคม (สุนทรียะ) หลักการดำเนินชีวิต (ศีลธรรม) ทำให้เข้าใจว่าศาสนาเป็นเพียง/มีไว้เพื่อให้บริการแก่มนุษยชาติ (The service of mankind) และการสนองตอบด้านอารมณ์ร่วมกันของมนุษย์ต่อธรรมชาติ ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบความจริงของศาสนาเป็นเพียงระดับกรอบของความรู้และการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อวิถีชีวิต ไม่ได้พิจารณาความจริงของศาสนาที่เป็นชีวิตแห่งความสนิทสัมพันธ์ส่วนบุคคล (A life of personal companionship) กับความเป็นจริงสูงสุดซึ่งเป็นอุตรภาพ และเป็นเป้าหมายของความสมบูรณ์แท้จริง และเป็นนิรันดรภาพ \

2. แนวโน้มบางประการของแนวคิดทางปรัชญาและปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำนึกและการ
แสดงออกในการนับถือศาสนา

2.1 ทิศทางและแนวโน้มบางประการของปรัชญาตะวันออกและปรัชญาตะวันตกต่อความจริง/ท่าทีในศาสนา

2.1.1 ทิศทางและแนวโน้มของปรัชญาตะวันออก

ก. ภาพรวมของปรัชญาตะวันออก

ปรัชญาตะวันออกมีสองแนว คือ

1) ปรัชญาอินเดีย

แนวคิดมีลักษณะเป็นการขยายความคำสอนของศาสนา โดยให้หลักเหตุผลเป็นเครื่องมือ จึงมีลักษณะเป็นปรัชญาศาสนา ในแบบปรัชญาชีวิต แบ่งกว้าง ๆ ได้สองแนวคือ แนวที่ยอมรับและอธิบายสัจธรรมในคัมภีร์พระเวท กับพวกที่ปฏิเสธหลักการเดิมที่เห็นว่าไม่ใช่สัจจะ แนวคิดมีลักษณะการมองชีวิตว่ามีแต่ทุกข์ จึงพยายามนำเสนอวิถีดับทุกข์ มองว่าทุกข์นี้มีวิธีแก้ไขหรือพ้นทุกข์ได้ เชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ซึ่งถือเป็นกฎสากลหรือกฎแห่งเหตุและผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยมี “อวิชชา” หรือการรู้ผิด หลงผิด เป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาชีวิต เน้นการบำเพ็ญพรตและการควบคุมตนเอง อันเป็นวิถีสู่การหลุดพ้นซึ่งมนุษย์มีศักยภาพที่จะบรรลุถึงความรอดพ้นนั้นได้ โดยแยกเป็นสองแนว คือ เทวนิยม ที่เน้นการบำเพ็ญตนและพิธีกรรมอ้อนวอนต่อความเป็นจริงสุงสุด เพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ สู่ความรอดพ้น และแนวอเทวนิยม/มนุษยนิยม ที่เน้นความเป็นจริงของชีวิตและการบำเพ็ญสู่ความรอดพ้น (นิพพาน) หรือความหลุดพ้นจากทุกข์ (การเวียนว่ายตายเกิด) อันเป็นเป้าหมายแท้จริงของชีวิต

2) ปรัชญาจีน

ปรัชญาจีนมีลักษณะเป็นปรัชญาชีวิต โดยอาศัยความเชื่อถือที่ผ่านมาในอดีตเป็นรากฐาน จึงไม่สนใจแสวงหาปฐมธาตุหรือการหลุดพ้น จึงมีลักษณะต่างจากปรัชญาตะวันตกและปรัชญาอินเดีย แต่ปรัชญาจีนให้ความสำคัญแก่มนุษย์ด้วยกัน ทำอย่างไรจึงเป็นคนดี มีความสุข ทำอย่างไรสังคม ประเทศและโลกจะมีความสงบสุข เน้นหลักปฏิบัติและความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มองมนุษย์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของโลกและจักรวาล ทุกชีวิตมีความสัมพันธ์กันและต้องพึ่งพิงธรรมชาติ มองสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่ในแบบขัดแย้ง แต่มองถึงความกลมกลืนประสานสืบเนื่องของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายในโลก เน้นหลักปฏิบัติด้วยการฝึกฝนตนเอง เพื่อเข้าใจปัญหาทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เป็นปรัชญาในลักษณะเชิงปฏิบัติ มุ่งนำไปใช้เพื่อการดำรงชีวิตในสังคม ไม่มีความรู้สึกรุนแรงในแง่ศาสนา เพราะเน้นที่การปฏิบัติหรือฝึกฝนตนเอง ดังนั้น เนื้อหาปรัชญาจึงเน้นเรื่องจริยศาสตร์มากกว่าเพิ่มพูนความรู้แก่สติปัญญา มีเนื้อหาที่เน้นหลักศีลธรรม อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบัน เราจึงกล่าวได้ว่าปรัชญาจีน มีลักษณะเป็นมนุษยนิยม โดยมุ่งตอบปัญหาที่ว่า “ทำอย่างไร” มากกว่าจะตอบว่า “ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น”

ข. การวิเคราะห์แนวคิดและวิถีชีวิตของปรัชญา (ชาว) ตะวันออกต่อความจริง/ท่าทีในศาสนา

ยัง ดังโตแนล (2551) ให้ข้อสังเกตว่า แนวคิดปรัชญาตะวันออก โดยทั่วไปแตกต่างจากปรัชญาตะวันตก กล่าวคือ ปรัชญาตะวันตก (ยุคปัจจุบัน) เน้นเรื่องเหตุผลอย่างมากทีเดียว ลักษณะแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อศาสนา เนื่องจากถือว่าหลักการที่มีคุณค่าและรับได้มีชนิดเดียว คือเหตุผลตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ท่าทีแบบนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้แนวโน้มที่จะทิ้งศาสนา เพราะถือว่าความจริงของศาสนาไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม

ในวัฒนธรรมของปรัชญาตะวันออก เราพบแนวคิดและวิธีวางตัวอีกแบบหนึ่ง แน่นอนวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อแนวคิดของปรัชญาตะวันออก (วัฒนธรรมเอเชีย) วิทยาศาสตร์มีอิทธิพลอย่างมากมายทำให้วัฒนธรรมนั้นเปลี่ยนไปด้วย อาจจะมีบางแนวคิดของปรัชญาตะวันออกที่คิดว่า ศาสนาและวิทยาศาสตร์เข้ากันไม่ได้ก็จริง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดแบบนี้ ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้น แต่คำสอนของศาสนายังคงอยู่ ตัวอย่างเช่น เมื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ต้องมีพิธีทางศาสนาในวันเปิดโรงงานนั้น ถ้าสายการบินซื้อเครื่องบินใหม่ จะมีพิธีทางศาสนาเสกเครื่องบินใหม่นั้น ยิ่งกว่านั้น ชาวตะวันออก แม้ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกและวิทยาศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่ยังปฏิบัติตามรูปแบบของประเพณีเดิม ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับความรู้ด้านวิชาการทางวิทยาศาสตร์ เช่น รอยยิ้ม ไมตรีจิตที่ดีของคนไทยที่มีต่อชาวต่างชาติ รวมทั้งวัฒนธรรมการเคารพผู้อาวุโส เป็นต้น

การปฏิบัติแบบนี้ที่ทำให้ศาสนาและวิทยาศาสตร์อยู่ด้วยกัน แสดงว่าระบบวิทยาศาสตร์และระบบศาสนาอยู่กันละระดับ ไม่ขัดแย้งกัน ถ้าวิทยาศาสตร์ใช้เหตุผลเป็นหลักสำคัญ ศาสนาคงใช้ความรู้สึก หรือความสำนึกภายในจิตใจมากกว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจมากกว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีใหม่คงจะนำความสะดวกก็จริง แต่ความหมายของชีวิตหรือโลกทัศน์โดยทั่วไปมาจากศาสนา และการประกอบพิธีทางศาสนานั้นเป็นวิธีช่วยให้เข้ากับโลกทัศน์ให้เข้าที่ในระบบของจักรวาลและสังคม การประพฤติแบบนี้ในอีกแง่หนึ่งแสดงให้เห็นว่า ศาสนาไม่ต้องการหลักหรือพื้นฐานในด้านเหตุผลเป็นสำคัญ แต่อยู่บนพื้นฐานของความสำนึกภายในจิตใจมากกว่า

2.1.2 ทิศทางและแนวโน้มของปรัชญาตะวันตก

ก. ภาพรวมของปรัชญาตะวันตก

นักวิชาการสาขาวิชาปรัชญาแบ่งแนวคิดของปรัชญาตะวันตกเป็นสี่ยุค คือ ปรัชญาตะวันตกยุคกรีก (ก่อน ค.ศ. 600 – ค.ศ. 600) ปรัชญาตะวันตกยุคกลาง (ราว ค.ศ. 1 – ค.ศ. 1500) ปรัชญาตะวันตกยุคใหม่ (ราว ค.ศ. 1500 – ค.ศ. 1800) และปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน (ราว ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา) แนวคิดของปรัชญาตะวันตกยุคแรก (ยุคกรีก) และยุคกลาง สะท้อนให้เห็นถึงการอธิบายความเป็นจริง (ปัญหาเรื่องปฐมธาตุและการเปลี่ยนแปลง) และความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริง (พระเจ้า) กับมนุษย์ (การนำแนวคิดของปรัชญายุคกรีกมาอธิบายคริสต์ศาสนา) ซึ่งเป็นการเน้นการศึกษาความเป็นจริงในเชิงอภิปรัชญา ต่อมา ผลจากพัฒนาของวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้แนวคิดของปรัชญาต้องปฏิรูปหลักการรู้และอธิบายความจริงเชิงปรัชญา โดยเฉพาะตั้งแต่ปรัชญาตะวันตกยุคใหม่เป็นต้นมา


ข. การวิเคราะห์ปัจจัยและแนวคิดของปรัชญาตะวันตกต่อความจริง/ท่าที
ในศาสนา

1) พัฒนาการของวิทยาศาสตร์ส่งผลต่อวิธีการศึกษาและเนื้อหาของ
ปรัชญา

แนวคิดของปรัชญาตะวันตกยุคใหม่ (ค.ศ. 1500 – 1800) ตั้งแต่เรอเน เดการ์ต (Rene Descartes, ค.ศ. 1596-1650) ที่ส่งผลต่อการพิจารณาอัตลักษณ์เรื่องวิธีการศึกษาและเนื้อหาของปรัชญาในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา) ว่าปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมา เน้นสร้างอัตลักษณ์ของปรัชญา ด้วยการกำหนดวิธีและเนื้อหาการศึกษา ปรัชญาสนใจหาวิธีการรู้ความจริงของปรัชญา คิดว่าความจริง/ความรู้ทางปรัชญาต้องชัดเจน ชัดแจ้งและเป็นสากล การได้มาซึ่งความรู้ดังกล่าว ต้องอาศัยสติปัญญา อาศัยเหตุผล ทำให้มนุษย์สามารถรู้ความจริง แต่เมื่อได้มีการพัฒนาและมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ๆ ทำให้มนุษย์รู้ความจริงที่เป็นสากล และนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ต่อการอำนวยความสะดวกของชีวิต ส่งผลให้เกิดมีการนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นวิธีการรู้ความจริงของปรัชญาและความจริงของศาสนา โดยเฉพาะแนวคิดปฏิฐานนิยม (Positivism) ซึ่งยืนยันว่า วิธีการของวิทยาศาสตร์เท่านั้น จะทำให้มนุษย์รู้ความจริง เหตุผลมีคุณค่าภายในวิธีการของวิทยาศาสตร์แต่อย่างเดียว คือในขอบเขตของปรากฏการณ์ของสิ่งที่ทดลองและพิสูจน์ได้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ปรัชญาไม่มีหน้าที่ที่จะอธิบายความเป็นจริงแล้ว วิทยาศาสตร์ต่างหากที่จะอธิบายความเป็นจริงได้ ปรัชญากลับมาเป็นเพียงแต่ตรรกวิทยา หรือการวิเคราะห์ภาษา และมีบทบาทเป็นเครื่องมือของวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ปรัชญาไม่จำเป็นต้องใส่ใจในการตอบปัญหาเรื่องความเป็นจริง (ปัญหาเชิงอภิปรัชญา) อีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีอภิปรัชญาอีกต่อไป ปรัชญามีหน้าที่เพียงแค่การตีความและการแสวงหาทิศทางในการดำเนินชีวิต ปรัชญาเป็นเพียงกระบวนการของมนุษย์ในการแสวงหาคุณค่าต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์เอง ปรัชญาเป็นกระบวนการแสวงหาคำตอบต่อปัญหาว่าอะไรดีที่สุดที่มนุษย์ควรปฏิบัติ ปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมา ค่อยๆ เน้นการสร้างอัตลักษณ์ตนเองในการเป็นศาสตร์ ด้วยการเน้นวิธีการหาความรู้ (Hick, 1974 อ้างในวุฒิชัย, 2551) และค่อยๆ นำสู่การหาหลักปฏิบัติของชีวิต (ปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน) จนมีแนวโน้มว่าปรัชญา ค่อยๆ ลดอภิปรัชญาลงไป


2) ศาสนาต้องอธิบายตนเองโดยเน้นความเชื่อศรัทธา

ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ที่ดูเหมือนค่อยๆ ทำหน้าที่อธิบายความจริง ส่งผลให้มีการจำกัดกรอบของปรัชญาแต่เพียงหลักการดำเนินชีวิต เมื่อปรัชญาไม่มีหน้าที่ตอบปัญหาเชิงอภิปรัชญา (ความเป็นจริงคืออะไร) ซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมโยงระหว่างปรัชญากับศาสนา ย่อมมีผลต่อการแยกกันระหว่างปรัชญาและศาสนาให้กว้างยิ่งขึ้น แต่เดิมปรัชญาพยายามอธิบายภาวะที่มีอยู่ (อภิปรัชญา) และอธิบาย (ความจริงของ) ศาสนาในฐานะที่เป็นภาวะที่มีอยู่ในสังคม ปรัชญากลับเน้นอธิบายเฉพาะหลักการดำเนินชีวิตในระดับจริยศาสตร์ (อะไรดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เพื่อมีความสงบสุขของตนเองและสังคม) มีผลทำให้ศาสนาต้องอธิบายความจริงของศาสนาด้วยตนเอง ด้วยการเน้นความเชื่อศรัทธา จนบ่อยครั้งขาดการอธิบายด้วยเหตุ-ผล ขาดความเข้าใจความเชื่อ นำสู่การขาดความเชื่อมโยงระหว่างหลักคำสอนของศาสนา กับคุณค่า ความหมายของชีวิตของผู้นับถือศาสนาอย่างแท้จริง

ดังนั้น เราจะได้ว่าวิกฤติการของปรัชญา และการอธิบายความจริงของศาสนา ไม่ได้มาจากการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่มาจากปฏิกิริยาของนักปรัชญาต่อหน้าเหตุการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ถ้าปรัชญาละเลยหน้าที่ของตนในการแสวงหาคุณค่าที่ถูกต้อง ถ้าปรัชญาเป็นแต่เครื่องมือของวิทยาศาสตร์และปฏิเสธคุณค่าของอภิปรัชญาแล้ว ทิศทางชีวิตจะมุ่งไปถึงค่านิยมในด้านวัตถุแต่อย่างเดียว และเราจะไม่มีอะไรที่จะอ้างถึงเพื่อคนอื่นในสังคม (วรยุทธ อ้างในดังโตแนล, 2551)

2.2 ความก้าวหน้าและอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ สู่กระแสวัตถุนิยม บริโภคนิยมและปัจเจกนิยม

2.2.1 วิธีการและความจริงทางวิทยาศาสตร์ คือ มาตรฐานของความจริงในยุคปัจจุบัน

จากกระแสของการแยกตัวและพัฒนาการอย่างต่อเนื่องของวิทยาการสมัยใหม่ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ที่ให้ความจริงสากล ทุกคนยอมรับและผลการทดลองมีลักษณะเป็นปรนัย (ไม่ขึ้นกับคนใด หรือที่ใดที่หนึ่ง) ส่งผลกระทบต่อการกำหนดอัตลักษณ์และวิธีการรู้ความจริงของปรัชญาและศาสนา ดังที่ยัง ดังโตแนล (2551) ได้เสนอความคิดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจเข้าใจได้ว่า ปรัชญาไม่สามารถที่จะพบคุณค่าที่เป็นพื้นฐานของจริยศาสตร์ และทิศทางการดำรงอยู่ของมนุษย์จะอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่อย่างเดียว ถือว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำได้ต้องเป็นสิ่งที่ดีเสมอ โดยไม่ต้องแสวงหาอะไรอื่นๆ และสิ่งที่มีประสิทธิภาพและเกิดผลต้องเป็นสิ่งที่ดีเช่นเดียวกัน ดังนั้น ทิศทางชีวิตมนุษย์จึงมุ่งไปสู่การพัฒนาด้านวัตถุเท่านั้น ต้องแสวงหาสิ่งที่ทำให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะความสะดวกนี้แหละเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และปัญหาทางจิตใจจะเป็นอย่างไรเล่า ปรัชญาปฎิฐานนิยมสมัยปัจจุบันไม่สามารถจะให้คำตอบได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตของวิทยาศาสตร์ ดังนั้น สิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจเป็นสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึก ความต้องการหรือจินตนาการของมนุษย์แต่ละคน โดยไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน มาตรฐานที่แน่นอนนั้นมีแต่ประการเดียว คือ สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หรือสิ่งที่เกิดผลประโยชน์ในด้านเทคนิค เรื่องนี้เป็นแนวคิดของปฏิบัตินิยม (Pragmatism) โดยมีจอห์น ดิวอี้ (John Dewey, ค.ศ. 1859 – 1952) เป็นผู้นำสำคัญ เมื่อปรัชญาเป็นเพียงแต่ ตรรกวิทยาหรือการวิเคราะห์ภาษาเท่านั้น และละทิ้งอภิปรัชญาแล้ว พฤติกรรมของคนทั่วไปอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ ประสิทธิภาพ หรือเสรีภาพของแต่ละคนเท่านั้น”

2.2.2 ค่านิยมวัตถุนิยม บริโภคนิยมและปัจเจกนิยม : กระแสของการยึดตนเองด้านกายภาพเป็นหลักในการดำเนินชีวิต

ผลที่ตามมาในภาคปฏิบัติ คือ ปัญหาต่างๆ ที่เราต้องเผชิญในสังคมปัจจุบัน เช่น ในด้านแพทยศาสตร์ หลายคนถือว่าสิ่งที่เกิดผลและที่วิทยาศาสตร์ทำได้ต้องเป็นสิ่งที่ดี เมื่อถือตามหลักแบบนี้ คงจะทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคารพคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ในอีกด้านหนึ่งมีแนวคิดว่าสิ่งที่คนต้องการ เราควรยอมรับและสนับสนุน เพราะว่าแต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะได้สิ่งที่ตนเองอยากได้ เมื่อไม่มีมาตรฐานอื่นๆ นอกจากความสะดวกสบาย ไม่มีทางแล้วที่จะทำให้คนพิจารณาสิ่งอื่นนอกจากความสะดวกที่ต้องการ เป็นอย่างนี้ที่เราเห็นรัฐบาลของประเทศบางประเทศ พยายามให้สิทธิกับคู่ร่วมเพศเดียวกันเท่ากับครอบครัวธรรมดา หรืออนุญาติให้มีการทำแท้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ฯลฯ ซึ่งเป็นวิธีการที่ละเลยและทำลายศักดิ์ศรีของชีวิต แต่เป็นค่านิยมที่อยู่บนพื้นฐานของกระแสวัตถุนิยม ที่มองความเป็นจริงแต่เพียงระดับวัตถุ ยึดความพึงพอใจทางกายภาพเป็นหลัก นำสู่กระแสบริโภคนิยม ที่เน้นเสพสุข ความพึงพอใจด้านกายภาพ และกระแสปัจเจกนิยม ที่ยึดตนเองเป็นหลักในการดำเนินชีวิต นำสู่การปฏิเสธและลดทอนคุณค่าของการมุ่งสู่เป้าหมายชีวิต อันเป็นความจริงที่ศาสนานำเสนอ





2.3 ทิศทางและแนวโน้มบางประการของปรัชญายุคปัจจุบันต่อการพิจารณาความจริงในศาสนา

2.3.1 แนวโน้มบางประการต่อความเชื่อมโยงระหว่างปรัชญาและศาสนา

ปรัชญาตะวันออกตั้งแต่ยุคโบราณ จนถึงสมัยปัจจุบัน ยังคงมีลักษณะเป็นปรัชญาศาสนาและปรัชญาชีวิต ที่พยายามอธิบายการบรรลุถึงความเป็นจริง และการอธิบายวิถีชีวิตที่สงบสุขในสังคม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมา มีแนวโน้มที่จะเน้นปัญหาด้านญาณวิทยาและคุณวิทยา (จริยศาสตร์และสุนทรียศาสตร์) ละเลยหรือมองข้ามปัญหาเชิงอภิปรัชญา อย่างไรก็ตาม ยังมีนักปรัชญาบางคนได้ตระหนักถึงภารกิจของปรัชญาในการอธิบายความจริงของศาสนาอยู่บ้าง เนื่องจากศาสนาได้เสนอหลักและแนวทางการดำเนินชีวิตอย่างมีจุดหมาย คือ มุ่งสู่ความรอดพ้น จึงมีนักปรัชญาที่พยายามแสวงหาและสนับสนุนคุณค่าตามคำสอนของศาสนา ศาสนามีข้อคิดและการแนะนำหลายประการที่จะช่วยให้มนุษย์เห็นทิศทางการดำเนินชีวิต โดยไม่เอาวัตถุ (ตามกระแสวัตถุนิยม/บริโภคนิยม) เป็นเป้าหมายเพียงด้านเดียว แต่สิ่งที่ศาสนาสอนคือ การดำเนินชีวิตที่มุ่งสู่ความเป็นจริงสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ ยัง ดังโตแนล (2551) ได้วิเคราะห์ว่า “แต่คำสอนของศาสนานี้ คงจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้ที่ไม่นับถือศาสนา และนักปรัชญาปฏิฐานนิยมจะเน้นความคิดว่า คุณค่าของศาสนาต่างๆ นี้จะดูดีแค่ไหนไม่ว่า แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่มีพื้นฐานอยู่ในระดับความจริงของวิทยาศาสตร์ เพราะว่าเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ คุณค่าของความจริงในศาสนาคงจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุ ไม่มีผล เป็นการแสดงออกของความรู้สึกที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”

2.3.2 การหวนกลับสู่อภิปรัชญาของปรัชญา

ยัง ดังโตแนล ได้นำเสนอต่อไปว่า “ตรงจุดนี้เองที่เราจะเห็นถึงความสำคัญของอภิปรัชญาในสถานการณ์ปัจจุบัน คำสอนของศาสนาจะไม่มีน้ำหนัก ถ้าไม่มีความเข้าใจหรือการอธิบายตามเหตุ ตามผลที่อยู่เบื้องหลังของความจริงในศาสนา จำเป็นต้องแสวงหาคุณค่าทั้งของชีวิตมนุษย์ ของสังคม ของความยุติธรรม ฯลฯ ถึงจะสามารถหาทิศทางดำเนินชีวิตที่ดีที่สุดสถานการณ์ของสังคมปัจจุบัน หรือโลกาภิวัตน์นั้น ไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่าสมัยอื่นๆ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เป็นการท้าทายสำหรับนักปรัชญา เป็นการเรียกร้องให้มีการตีความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง เพื่อจะส่งเสริมและช่วยให้ชีวิตมนุษย์ พัฒนาในหนทางที่เหมาะสมและบริบูรณ์”


2.3.3 การศึกษาความเป็นจริง อาศัยวิธีปรากฎการณ์ และการตีความหมายของความจริง

ในปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน มีนักปรัชญาหลายท่านคิดว่าควรเริ่มต้นอธิบายคุณค่า ความหมายของชีวิต ด้วยการใช้วิธีการของปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) และการตีความ (Hermeneutics) เพื่อจะแสวงหาและอธิบายคุณค่าของชีวิตในสภาพของสังคมปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจพื้นฐานที่แน่นอนในการดำรงชีวิต เช่น

ก. แนวคิดของปรัชญาแนวมนุษยนิยม

แนวคิดมนุษยนิยม (Humanism) เริ่มต้นตั้งแต่ปรัชญาตะวันตกยุคใหม่ ที่เน้นความสำคัญของมนุษย์ว่ามีศักยภาพที่จะเข้าถึงความจริงได้ โลกที่มนุษย์อยู่เป็นโลกที่มีกฎเกณฑ์ มีระเบียบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ จึงไม่ควรบังคับหรือจำกัดขอบเขตของมนุษย์ ควรปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างเสรี และส่งเสริมความรับผิดชอบแก่ปัจเจกชน

1) แนวคิดมนุษยนิยม มีแนวโน้มนำสู่การปฏิเสธความจริงของศาสนา

ในระยะเริ่มต้นของแนวคิดมนุษยนิยม เน้นส่งเสริมให้ยึดมนุษย์เป็นศูนย์ของความคิด ส่งเสริมคุณค่าที่ยึดมนุษย์เป็นหลักพื้นฐานของความจริง แม้ว่าจะไม่ปฏิเสธว่ามีความเป็นจริงสูงสุดอยู่เหนือมนุษย์ และศาสนามีความสำคัญในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน เนื่องจากความจริงในศาสนา ช่วยให้มนุษย์มีอุดมการณ์ และเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เป็นพื้นฐานของค่านิยมต่างๆ และเป็นรากฐานของศีลธรรม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักปรัชญาแนวมนุษยนิยมสนใจคือ แนวคิดที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง จำกัดวงความคิดในบริบทเฉพาะเรื่องของมนุษย์ ความจริงของศาสนาไม่ใช่จุดสำคัญของแนวคิด และมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยพูดถึง นำสู่การไม่พูดถึงเลย จนนำสู่การปฏิเสธคุณค่าของความจริงในศาสนา เนื่องจากมนุษยนิยมมีแนวคิดอยู่ที่การยกย่องว่ามนุษย์ไม่ต้องขึ้นกับอะไร มนุษย์ต้องเป็นนายเหนือตนเอง และเหนือโลกด้วย




2) ประเภทและมโนภาพต่อความจริงของศาสนา

แนวคิดมนุษยนิยมแบ่งออกได้หลายประเภท ในที่นี้ขอนำเสนอเพียงสองประเภท มีแนวคิดที่ต่างกันออกไป ในที่นี้ ผู้เขียนขอนำเสนอเฉพาะความคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับศาสนา (ยัง ดังโตแนล, 2551)

2.1) มนุษยนิยมเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Humanism)

2.1.1) ความหมาย

หมายถึง แนวคิดที่นำวิธีการและความจริงของวิทยาศาสตร์มาอธิบายความเป็นจริง เนื่องจากความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ และการพัฒนาของเทคโนโลยีในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่น่าประทับใจ และแสดงถึงศักยภาพของมนุษย์อย่างชัดเจน และต่อยอดเป็นวิทยาการสาขาต่างๆ สามารถที่จะให้เหตุผลสำหรับการเคลื่อนไหวของโลกจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ทฤษฎีวิวัฒนาการและชีววิทยาให้คำอธิบายเกี่ยวกับกำเนิดและการพัฒนาของชีวิต อธิบายจนแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นข้อลึกลับ ที่วิทยาศาสตร์จะไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่า ถ้าหากวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายทุกอย่างได้ตามเหตุ ตามผล ตามกฎของธรรมชาติ ก็ไม่ต้องจำเป็นต้องใส่ใจต่อความจริงของศาสนาอีกแล้ว ส่งผลให้มนุษย์ในสมัยนี้รู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจหรือใส่ใจต่อความเป็นจริงสูงสุด (ความจริงของศาสนา) แต่อาศัยความสามารถของมนุษย์เท่านั้น

2.1.2) การวิเคราะห์แนวคิดและท่าทีต่อความจริงในศาสนา

แนวคิดนี้มีความโน้มเอียงไปทางฝ่ายวัตถุนิยม ด้วยการเน้นถึงความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้มุ่งไปถึงการพัฒนาด้านกายภาพมากกว่า มนุษย์มีความสามารถอย่างสูงที่จะสร้างความรู้ที่สมบูรณ์ การอธิบายโลกจักรวาลและชีวิตมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ เทคโนโลยีหรือการประยุกต์วิทยาศาสตร์นั้นมุ่งไปถึงความสะดวกทางกายภาพ

แนวคิดดังกล่าวนี้จึงมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธความจริงของศาสนา เนื่องจาก ความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า) หรือความจริงของศาสนาเข้าไม่ได้กับกระบวนการของเหตุ และผลตามวิธีการของวิทยาศาสตร์เลย นักวิทยาศาสตร์จะรับเฉพาะสิ่งที่อธิบายได้ในบริบทของวิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุทางกายภาพ เพราะฉะนั้น มโนภาพของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับศาสนา จึงเป็นอุปสรรคต่อวิทยาศาสตร์ เป็นการใช้สิ่งที่ไม่อยู่ในธรรมชาติ เพื่อมาแทนที่สาเหตุที่ค้นไม่พบ ความจริงของศาสนาเป็นเพียงแต่ความเชื่องมงายของคนที่ยังขาดความรู้ ศาสนาแสดงออกเพียงเป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะแก้ปัญหาในชีวิตมนุษย์โดยอาศัยการสวดอธิษฐาน เมื่อมนุษย์ไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง

2.2) มนุษยนิยมเชิงศีลธรรม (Moral Humanism)

2.2.1) ความหมาย

หมายถึง แนวคิดที่ส่งเสริมให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามหลักศีลธรรม ที่ไม่ได้มีพื้นฐานจากการเชื่อต่อๆ กันมาตามที่ศาสนาสอน “ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาเพื่อจะเป็นคนที่สุจริตและมีใจเมตตา ไม่จำเป็นต้องเชื่อถึงพระเจ้า เพื่อจะเอาใจใส่ต่อหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์” (Luc Ferry, 1996 อ้างใน ดังโตแนล, 2551) ประโยคนี้แสดงอย่างชัดเจนว่า เรื่องจริยธรรมไม่ขึ้นกับความเชื่อตามความจริงในศาสนา หรืออ้างอิงความเป็นจริงสุงสุด (พระเจ้า) แต่หลักศีลธรรมต้องมีพื้นฐานที่มีการยกย่องเสรีภาพ ความรับผิดชอบและศักดิ์ศรีของมนุษย์ ผู้ที่มีความรับผิดชอบและสำนึกถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์ ก็มีหลักที่เพียงพอที่จะเป็นผู้ชอบธรรม ค่านิยมต่างๆ ไม่ได้มาจากเบื้องบน ไม่ต้องมีใครอยู่เหนือโลกเพื่อจะออกข้อบังคับหรือพระบัญญัติ ไม่ต้องมีศีลหรือธรรมะ การเข้าใจถึงคุณค่าของชีวิตก็พอแล้วที่จะทำให้คนใดคนหนึ่งประพฤติด้วยความชอบธรรม การยอมรับพระเจ้าหรือธรรมะ หรืออะไรก็ตามที่เป็นผู้มีอำนาจเหนือมนุษย์ หรือตุลาการที่จะลงโทษหรือให้รางวัลแก่มนุษย์ เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับเสรีภาพและศักดิ์ศรีของมนุษย์

2.2.2) การวิเคราะห์แนวคิดและท่าทีต่อความจริงในศาสนา

แนวคิดที่เรียกว่า “มนุษยนิยมเชิงศีลธรรม” คิดว่ามนุษย์เป็นหลักสำคัญ และกลับมาเป็นมาตรฐานของทุกอย่าง โดยเฉพาะมาตรฐานเกี่ยวกับการตัดสินเรื่องความดี ความชั่ว มีทั้งความเคารพต่อศักดิ์ศรีของมนุษย์ผู้มีชีวิต ผู้มีจิตวิญญาณ และการยกย่องเสรีภาพ มนุษย์มีเสรีภาพที่จะทำให้มนุษย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อชีวิตของตน มนุษย์แต่ละคนต้องตัดสินใจเลือกวิธีการดำเนินชีวิตของตนเอง ตามเหตุ ตามผลของตนเอง มนุษย์แต่ละคนเป็นเอกเทศโดยไม่มีใครและไม่มีอะไรที่มีสิทธิมาบังคับมนุษย์จากภายนอก

แนวคิดในกลุ่มนี้ละทิ้งความจริงของศาสนา เพราะว่าจะเป็นการจำกัดเสรีภาพของมนุษย์ ความเชื่อถึงพระเจ้าหรือการนับถือศาสนา เป็นเหตุให้มนุษย์ต้องทำสารพัดสิ่ง ตามคำสั่งของศาสนา ดังนั้น มนุษย์ไม่มีเสรีภาพแล้ว ไม่เป็นตัวของตนเอง มนุษย์จะถูกลงโทษ ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสอนหรือธรรมะตามที่ศาสนาสอน

ข. แนวคิดของนักปรัชญาแนวบุคคลนิยม

1) ภาพรวมและลักษณะแนวคิด

บุคคลนิยมไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่มีการพูดถึงบ้างแล้วในปรัชญาของนักบุญโทมัส อาไควนัส (St, Thomas Aquinas, ค.ศ. 1225 – 1274) และผู้เลื่อมใสแนวคิดของท่านในสมัยต่อมา (The Thomist) ที่มีแนวคิดว่ามนุษย์เป็นบุคคล โดยมีส่วนร่วมกับการเป็นบุคคลของความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า) แต่ยังไม่ได้รับการพัฒนาและจัดระบบความคิดอย่างจริงจัง จนกระทั่งราวปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx, ค.ศ. 1818 – 1883) ได้รับการยอมรับในฐานะที่เสนอแนวทางเพื่อแก้ปัญหาความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียมกันของประชาชนในสังคม แต่ก็มีนักปรัชญาหลายๆ ท่านไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของมาร์กซ์ที่ใช้เศรษฐกิจมาอธิบายพื้นฐานของสังคม โดยเฉพาะ เอ็มมานูเอล มูเนียร์ (Emmanuel Mounier, ค.ศ. 1905 – 1950) ที่เสนอความคิดว่าวิธีเดียวที่จะเข้าใจสังคม คือ การเริ่มต้นที่ตัวมนุษย์ที่เป็นบุคคล (The person) การศึกษาปรัชญาควรจะเริ่มจากมนุษย์ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้ มีน้ำใจเสรีและมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยมองมนุษย์ว่ามีลักษณะสำคัญสามอย่างที่ต้องอยู่ด้วยกัน คือ อัตลักษณ์ของแต่ละคน ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผู้อื่น และสถาบันอันเป็นธรรมของสังคม (เน้นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลและความสัมพันธ์กับผู้อื่นแบบความเป็นมิตร ซึ่งทำให้สังคมเป็นหมู่คณะ)

2) การเน้นคุณค่าด้านจิตใจมากกว่าแค่ระดับผลประโยชน์ทางกายภาพ

นักปรัชญาสำคัญอีกท่านหนึ่งของแนวคิดบุคคลนิยม คือ ปอล ริคเกอร์ (Paul Ricoeur, ค.ศ. 1913 - 2005) เชิญชวนให้ตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์แต่ละคน ปรัชญาของท่านช่วยให้มีหลักสำหรับสิทธิมนุษยชน และปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรมในสังคม ด้วยแนวคิดของริคเกอร์นี้ ช่วยให้เราออกจากวงวิทยาศาสตร์และข้อเท็จจริงที่ปรากฎ เพื่อจะถึงความหมายแท้ของชีวิตมนุษย์และสังคม และเราสามารถข้ามระดับของผลประโยชน์ เพื่อจะมุ่งไปถึงการพัฒนาชีวิตมนุษย์ทั้งครบ โดยเฉพาะทางจิตใจ

3) ความจริงของศาสนา คือ การมีความสัมพันธ์ของบุคคลต่อบุคคล

แนวคิดบุคคลนิยมมีลักษณะต่อต้านแนวคิดที่ลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ให้เป็นเพียงหน่วยหนึ่งหรือเป็นเครื่องมือของสังคม ส่งผลให้มีการลดทอนคุณค่ามนุษย์ รวมทั้งความจริงในศาสนาให้อยู่แค่ระดับกายภาพ มองข้ามคุณค่าด้านจิตวิญญาณ อันเป็นคุณค่าแท้จริงของชีวิต ที่มีอัตลักษณ์และต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นในแบบหมู่คณะ (Communion) ในฐานะที่เป็นบุคคลและมีความสัมพันธ์กันแบบบุคคลต่อบุคคล โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับความเป็นจริงสูงสุด ซึ่งเป็น “บุคคลที่สมบูรณ์” (Absolute Person)

4) แนวคิดพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับความจริงของศาสนา (พระเจ้า)

เพื่อช่วยให้เข้าใจแนวคิดของปรัชญาแนวบุคคลนิยมให้ชัดเจนเรื่องความจริงของศาสนา จึงขอนำเสนอตัวอย่างแนวคิดของพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 อดีตประมุขศาสนจักรโรมันคาทอลิก (ค.ศ. 1978 – 2005) ที่พระองค์นำแนวคิดปรัชญาบุคคลนิยมมาอธิบายคำสอนคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ซึ่งจะเป็นแนวทางประยุกต์สู่การอธิบายความสำนึกและการแสดงออกของมนุษย์ต่อศาสนาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

4.1) ภาพรวมและลักษณะของแนวคิด

James V. Schall (1984: 1 อ้างถึงในวุฒิชัย, 2548) ได้สรุปภาพรวมแนวคิดของพระสันตะปาปาฯ ว่ามีลักษณะเป็น “ปรัชญาบุคคลนิยมที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางความคิดตามแบบคาทอลิก” กล่าวคือ เป็นการอธิบายความหมายของชีวิตมนุษย์โดยนำปรัชญาบุคคลนิยมมาอธิบายคำสอนคริสต์ศาสนา มนุษย์มีศักดิ์ศรีในฐานะเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็น “ภาพลักษณ์ของพระเจ้า” (Image of God) มีศักยภาพที่สามารถบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ (ความรอดพ้น) ในพระเจ้า อาศัยความรู้สำนึก เสรีภาพ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่บ่งบอกว่ามนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

4.2) ความหมาย “ภาพลักษณ์ของพระเจ้า”

พระสันตะปาปาฯ ยืนยันความหมายของมนุษย์ตามคำสอนของคริสต์ศาสนาว่า มนุษย์เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า ซึ่งหมายถึง (วุฒิชัย, 2548)
4.2.1) ภาพลักษณ์ของพระเจ้า เป็นของขวัญพิเศษที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ เพื่อให้มนุษย์มีส่วนร่วมภาวะและมีความคล้ายคลึงกับพระเจ้า ในความจริง ความดีและมีส่วนร่วมในชีวิตนิรันดร (ความรอดพ้น) ของพระเจ้า พระเจ้าโปรดให้มนุษย์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เป็น “มิตร” กับพระองค์ ชีวิตมนุษย์จึงเป็นกระบวนการที่มุ่งสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระเจ้า
4.2.2) ภาพลักษณ์ของพระเจ้า สะท้อนว่ามนุษย์มีธรรมชาติมาจากพระเจ้า จึงต้องพึ่งพิง และนำแนวทางของพระเจ้ามาพัฒนาชีวิตของตน
4.2.3) ภาพลักษณ์ของพระเจ้า เป็นภารกิจและเครื่องมือสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ในการพัฒนาชีวิตของตน และการปกปักรักษาสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ให้สมดุลกับสภาวะที่พระองค์ทรงสร้าง
4.2.4) แม้มนุษย์จะบกพร่อง ยังดำเนินชีวิตที่ตามใจตนเองและบ่อยครั้งปฏิเสธที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า (ซึ่งเป็นแนวทางสู่ชีวิตนิรันดร) แต่พระเจ้ายังคงกอบกู้มนุษยชาติทางพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อช่วยให้มนุษย์กลับสู่หนทางสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ในพระองค์ต่อไป

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สิ่งที่พระสันตะปาปาฯ ให้ความสำคัญ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า (ความจริงทางศาสนา) เป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างบุคคลต่อบุคคล กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (ที่มีความรู้สำนึก เสรีภาพและความสัมพันธ์กับคนอื่น เป็นพื้นฐานของชีวิต) กับพระเจ้าในฐานะที่พระองค์เป็นบุคคลที่สมบูรณ์และเสด็จลงมาสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์สู่ความรอดพ้นในพระองค์ จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่พระสันตะปาปาฯ เน้นเสมอ คือ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างธรรมชาติของมนุษย์ ที่ต้องดำเนินตามคุณลักษณะตามธรรมชาติของตน คือ การมีอยู่ การได้รับพระพร และการที่พระเจ้าโปรดให้มนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า จนถึงกับสามารถบรรลุถึงความรอดพ้น ที่มนุษย์จะพบได้ในพระเจ้า

3. การวิจารณ์แนวคิดที่ปฏิเสธ/ลดทอนคุณค่าของความจริงในศาสนา

3.1 ไม่ปฏิเสธว่าความจริงทางศาสนามีหลายมิติในการพิจารณา

จากการนำเสนอแนวคิดต่อความเป็นจริงสุงสุด/พระเจ้า ซึ่งเป็นพื้นฐานและเนื้อหาหลักของความจริงของศาสนา ผู้นับถือศาสนาไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดที่นำเสนอมาข้างต้น กล่าวคือ ยอมรับว่าหลายครั้งความจริงของศาสนา (มโนภาพเกี่ยวกับความเป็นจริงสูงสุด/พระเจ้า) เป็นการชดเชยความจำกัดของวิทยาศาสตร์ ความจริงของศาสนาอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ของมนุษย์เกี่ยวกับขอบเขตจำกัดของตัวเอง

ความสำนึกถึงความจำกัดนี้ ทำให้มนุษย์แสวงหาความหมายและคำตอบแก่ชีวิตมากกว่าการคิดถึงแต่ตนเอง มนุษย์สงสัยสิ่งที่อยู่สูงกว่าตนเอง และความคิดแบบนี้ เป็นจุดเริ่มอย่างหนึ่งของศาสนาที่อาจแสดงออกในการนับถือศาสนา บนแนวคิดว่าความจริงทางศาสนาเป็นทฤษฏีความรู้ (ศาสตร์) ความสำนึกร่วมกันทางสังคม (สุนทรียะ) หลักการดำเนินชีวิต (ศีลธรรม) เรายอมรับว่าสามารถมองความจริงของศาสนาในหลายมิติ

3.2 แนวคิดที่ใช้ความจริงและวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นมาตรการวัดความจริงของศาสนาเป็นการใช้มาตรการที่ไม่ตรงกับบริบทของความจริงในศาสนา

ตามที่บทก่อนหน้า ได้นำเสนอแนวคิดที่อธิบายคุณค่าของศาสนา ตามแนวคิดของปรัชญาตะวันตกยุคปัจจุบัน ที่ใช้ความจริงและวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นมาตรการวัดความจริงของศาสนา (ยัง ดังโตแนล, 2551)


3.2.1 ยังมีหลายปัญหา/ความจริงที่ไม่ได้อยู่ในบริบทของวิทยาศาสตร์

แม้ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยขยายอำนาจ และความสามารถของมนุษย์ในการอธิบายธรรมชาติและนำสู่วิทยาการสาขาอื่นๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทางกายภาพของมนุษย์ แต่มนุษย์ยังประสบกับสถานการณ์อื่นๆ ที่แสดงถึงความจำกัดของมนุษย์และวิทยาศาสตร์ช่วยไม่ได้ เช่น ความสงสัยเกี่ยวกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ความหมายของความทุกข์ และความตาย ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้ามากแค่ไหน แต่คงจะให้คำตอบกับปัญหาแบบนี้ไม่ได้เลย และความสำนึกถึงความจำกัดนี้ ทำให้มนุษย์แสวงหาความหมายและคำตอบนอกจากตัวเอง คิดว่าต้องมีความเป็นจริงที่สูงกว่าตัวเอง และความคิดแบบนี้เป็นจุดเริ่มอย่างหนึ่งของศาสนา

3.2.2 แนวคิดที่ใช้ความจริงและวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นมาตรการวัดความจริงของศาสนาละเลยความสัมพันธ์กับคนอื่น

ในเรื่องนี้ ยัง ดังโตแนล (2551) วิเคราะห์ว่า “ยังมีสิ่งหนึ่งที่นักปรัชญาแนวปฏิฐานนิยม และแนวคิดสสารนิยมแบบปฏิพัฒนามองข้ามเลย คือ การติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น นักปรัชญาสมัยปัจจุบันหลายท่าน ได้เริ่มจากความสัมพันธ์นี้เพื่อจะอธิบายความหมายและเหตุผลของศาสนา มนุษย์ทุกคนต้องการที่จะเปิดตัวเองสร้างความสัมพันธ์เป็นมิตรกับผู้อื่น และการให้ความเคารพและความรักต่อผู้อื่นนั้น เป็นวิธีการพัฒนาตัวเอง เพื่อจะเป็นตัวของตัวเอง มนุษย์ทุกคนต้องการความสัมพันธ์หรือมิตรภาพกับผู้อื่นด้วย ความรักเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของเรา ความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือการยอมรับแนวคิดของผู้อื่นที่แตกต่างจากแนวคิดของฉัน ทำให้ฉันสำนึกว่า ฉันเองยังไม่รู้ทุกอย่าง ฉันไม่เป็นจุดศูนย์กลางของทุกอย่างความรู้ของฉันไม่ใช่ความจริงทั้งครบ เพราะว่าผู้อื่นมองความจริงในแง่ที่แตกต่างจากฉันเรื่องนี้คือประสบการณ์ชนิดหนึ่งที่ทำให้เรายอมรับว่า ความจริง ความดี ทั้งครบอยู่สูงกว่าเรา เป็นความสำนึกถึงขอบเขตจำกัดของมนุษย์ในอีกรูปหนึ่ง และเป็นทางทำให้มนุษย์ยอมรับว่า จำเป็นต้องเปิดตัวเองสัมพันธ์กับสิ่งอื่นหรือผู้ที่เป็นความจริงและความดีสูงสุด นี่เป็นหนทางอีกอย่างหนึ่งของศาสนาและความเชื่อในชีวิตมนุษย์ ที่ปรัชญาแนวปฏิฐานนิยมและสสารนิยมแบบปฏิพัฒนาไม่ได้พิจารณา”

3.3 แนวคิดที่ลดทอน/ปฏิเสธความจริงของศาสนา ให้ข้อสรุปที่ไม่ถูกต้อง

การพิจารณาความจริงของชีวิตมนุษย์ ทำให้เข้าใจได้ว่า ธรรมชาติมนุษย์ไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่ระดับความจริงหรือวิธีการที่วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้หมด ยิ่งกว่านั้น เนื้อหาและวิธีการของวิทยาศาสตร์ในตัวมันเอง ไม่สามารถนำเราไปถึงพระเจ้าหรือโลกทัศน์ของศาสนา ถ้าเราไม่ยอมออกจากระบบของวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีทางที่จะพบเหตุผลเพียงพอ เพื่อส่งเสริมหรือเป็นพื้นฐานของความเชื่อ แต่ไม่ควรสรุปว่าศาสนาหรือความเชื่อเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเลย เราควรจะค้นหาเหตุผลที่อื่น โดยใช้วิธีการแบบอื่น ดังนั้น แนวคิดที่ลดทอน/ปฏิเสธความจริงของศาสนา ที่ยืนยันเฉพาะวิธีการและความจริงของวิทยาศาสตร์ และสรุปว่าในแบบที่ลดทอน/ปฏิเสธความจริงของศาสนา จึงเป็นการสรุปที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่สรุปได้คือ วิธีการ/ความจริงของศาสนา ไม่สามารถรู้ พิสูจน์ความจริงของศาสนาได้ (ไม่ใช่การปฏิเสธว่าไม่มีความจริงของศาสนา หรือความจริงของศาสนาเป็นเรื่องไร้สาระ)


3.4 เป็นความเข้าใจผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความเป็นจริงสูงสุด

ถ้าจะพิจารณาดู ทัศนคติและความเข้าใจของแนวคิดที่ปฏิเสธหรือลดทอนคุณค่าของความจริงในศาสนา มีเหตุผลพอที่เราจะเข้าใจได้ เมื่อจะพิจารณาด้วยวิธีการของวิทยาศาสตร์ เราต้องยอมรับว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ในด้านเทคนิค ไม่ต้องการพระเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ การค้นคว้าการอธิบายหรือการประยุกต์ต้องไปตามกฎของธรรมชาติ และเป็นงานของมนุษย์ทั้งสิ้น การทำให้พระเจ้าหรือสิ่งเหนือธรรมชาติ เข้ามาแทรกแซง ในกระบวนการของเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและผิดหลักของวิทยาศาสตร์แน่นอน ถ้าหากว่าพระเจ้าหรือศาสนาเป็นเพียงแต่การให้เหตุผลสำหรับสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังอธิบายไม่ถูก เราจะเข้าใจแล้วว่า ผู้ที่ทุ่มเทและไว้ใจในวิธีการของวิทยาศาสตร์จะทิ้งพระเจ้าหรือศาสนาแบบนี้ที่เป็นอุปสรรคต่อการก้าวหน้าในด้านวิชาการ

ยิ่งกว่านั้น เมื่อพิจารณาจริยธรรมหรือพฤติกรรมของมนุษย์ เราต้องยอมรับว่า ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาในทุกเรื่อง ผู้ที่สำนึกถึงคุณค่าของชีวิตและความสำคัญของสังคม คงจะเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะดำเนินชีวิตอย่างสุจริตและยุติธรรม ส่วนเสรีภาพของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตของเรา กิจกรรมต่างๆ ของแต่ละคนควรจะมาจากการตัดสินใจของตนเอง จากความเข้าใจของตนเอง ผู้ที่เป็นบุคคลอย่างแท้จริงต้องมีเหตุมีผลของตัวเองในการปฏิบัติ ซึ่งก็เป็นความรับผิดชอบของบุคคลในการดำเนินชีวิตของตน ถ้าวิธีเข้าใจศาสนาหรือพระเจ้าหมายถึงข้อบังคับหรือพระบัญญัติเท่านั้น หมายถึง อำนาจเคร่งจากเบื้องบนที่ต้องเชื่อฟัง และทำให้เกิดการกลัวบาป กลัวรับโทษ มโนภาพนี้เข้ากับการสำนึกถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์ไม่ได้ เราจะเข้าใจได้ว่าผู้ที่มีทัศนคติที่ชัดเจน และมั่นคงเกี่ยวกับชีวิต และเสรีภาพของมนุษย์ว่าเป็นคุณค่าสูงสุด พร้อมที่จะปฏิเสธและทิ้งภาพลักษณ์ของพระเจ้าหรือศาสนาที่เป็นเพียงแต่อำนาจสูงสุดที่คอยกดขี่และจำกัดศักยภาพของมนุษย์


4. การทบทวนความคิดเกี่ยวกับความจริงของศาสนา

แนวคิดที่ลดทอนหรือปฏิเสธความจริงของศาสนาตามที่นำเสนอไปแล้วนี้ น่าเชื่อถือและเป็นแนวโน้มของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน แม้แต่ผู้นับถือศาสนาหรือผู้ที่ไม่มีความเชื่อในศาสนาอะไรเลยก็คงมีเหตุผลที่จะปฏิเสธความจริงของศาสนา และคงจะยึดมั่นในคุณค่าความจริงของวิทยาศาสตร์ และคุณค่าที่ส่งเสริมเสรีภาพตามแนวคิดมนุษยนิยม เพราะฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะทบทวนความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความจริงของศาสนา ซึ่งนำสู่การมีท่าทีที่ถูกต้องต่อศาสนาต่อไป (ยัง ดังโตแนล, 2551)

4.1 แนวคิดที่ลดทอน/ปฏิเสธความจริงของศาสนา ท้าทายให้ทบทวนความจริงของศาสนา

แนวคิดของนักปรัชญาแนวมนุษยนิยม และแนวคิดที่ปฏิเสธ/ลดทอนคุณค่าความจริงของศาสนา นำสู่ท่าทีการนับถือศาสนาตามที่เขามีความคิดเข้าใจต่อศาสนา เป็นโอกาสท้าทายสำหรับผู้ที่นับถือและเห็นความสำคัญของศาสนา ข้อเสนอของคนเหล่านี้ คือ ศาสนาเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของมนุษย์ ต่อการก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์ ต่อการพัฒนาอัตลักษณ์และเสรีภาพของบุคคล ถ้าผู้ที่นับถือศาสนายังมีเหตุผลด้านกายภาพเท่านั้น เช่น “พระเจ้าเป็นปฐมเหตุของจักรวาล” หรือมองดูบทบาทของศาสนาว่าเป็นหลักของค่านิยมทางจริยธรรมแต่อย่างเดียว เช่น ศาสนาคือพระบัญญัติ หรือพระเจ้าคือผู้ตัดสินลงโทษ คงจะสู้การวิจารณ์ของผู้ที่ยึดมั่นในความสามารถของมนุษย์ไม่ไหว เพราะฉะนั้น การวิจารณ์ศาสนาของแนวคิดกลุ่มดังกล่าว เรียกร้องให้ผู้ที่อยากเน้นถึงความสำคัญของศาสนาและความเชื่อ ปรับปรุงความคิด ทัศนคติ และเหตุผลต่างๆ เกี่ยวกับศาสนา



4.2 ความจริงทางศาสนา เป็นคุณค่าภายใน จึงต้องใส่ใจต่อความเชื่อศรัทธา

มนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์เกี่ยวกับความจำกัดในชีวิตของตน แม้วิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีจะเจริญก้าวหน้าสักแค่ไหนก็ไม่สามารถชนะความจำกัดนั้น หรือให้คำตอบกับปัญหาที่เกิดมาจากความจำกัดนั้น เช่น การอธิบายปัญหาเรื่องความตาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือความแตกแยกระหว่างบุคคลในครอบครัวหรือในสังคม วิทยาศาสตร์คงไม่มีคำตอบเลย ประสบการณ์แบบนี้แสดงว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่ระดับกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกระดับหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิตตน คือ ระดับจิตวิญญาณที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ของชีวิตมีคุณค่าและความหมาย ความเชื่อและบทบาทของศาสนาอยู่ที่ระดับนี้เอง การพัฒนาของบุคคลจะหยุดที่ระดับของร่างกายและวัตถุแต่เพียงเท่านี้ไม่ได้ ทุกคนต้องการจะก้าวหน้า และมีความสุข ความสมบูรณ์ในด้านจิตใจด้วย

4.3 ความจริงของศาสนา เน้นให้มนุษย์ตระหนักถึงเป้าหมายที่สัมพันธ์ระหว่างชีวิตในปัจจุบันกับชีวิตที่สมบูรณ์ในอนาคต

4.3.1 มนุษย์แม้ว่ามีคุณลักษณะพิเศษ แต่ก็ยังมีความจำกัด

ความสำนึกและการเน้นถึงศักดิ์ศรีและเสรีภาพของมนุษย์ แม้ศาสนาสอนว่ามนุษย์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ระดับของร่างกายก็จริง แต่มนุษย์ยังมีคุณลักษณะพิเศษต่างจากสัตว์ทั่วไป คือ มนุษย์มีคุณค่าฝ่ายจิต ที่ทำให้มนุษย์มีคุณค่าและศักดิ์ศรีภายใน แต่การวางพื้นฐานที่ศักดิ์ศรีหรือเสรีภาพของมนุษย์แต่อย่างเดียว ยังไม่สามารถชนะความจำกัดของมนุษย์ได้ เนื่องจากเสรีภาพของมนุษย์มีเงื่อนไขและความจำกัดหลายอย่าง ทุกคนปรารถนาที่จะก้าวหน้าและพัฒนาชีวิตของตน แต่ความปรารถนานี้คือการมุ่งไปถึงเป้าหมาย และอุดมการณ์ที่กว้าง ลึก และสมบูรณ์กว่าคุณลักษณะของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนมุ่งไปถึงอุดมการณ์สูงสุดนี้

4.3.2 มนุษย์สามารถบรรลุถึงความรอดพ้นได้

แม้ว่าศาสนาจะประกอบด้วยหลักการ กฎเกณฑ์ และนำสู่การจัดระเบียบของสังคม หรือการกำหนดให้ปฏิบัติตาม รวมทั้งมีหลักการตัดสิน ลงโทษถ้ามีการละเมิดดังกล่าว แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวต่างๆ มีไว้เพื่อความเป็นเอกภาพ เป็นแนวทางสู่การขัดเกลาจิตใจ ซึ่งมีพื้นฐานจากการยอมรับความจำกัดของมนุษย์ที่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และการตีความในรายะเอียด และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อการปฏิบัติหลักธรรมของศาสนาจะได้สอดคล้องตรงกับความจริงที่ศาสนาสอนอย่างแท้จริง

4.3.3 ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมโนภาพของพระเจ้าในฐานะเป็นความรอดพ้น

แนวคิดที่ปฏิเสธ/ลดทอนความจริงของศาสนา โดยเฉพาะความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าในเชิงลบ ว่าพระเจ้าเป็นอุปสรรคต่อการใช้ศักยภาพของมนุษย์ ทำให้ต้องทำความเข้าใจดีๆ ว่าพระเจ้าไม่เป็นเพียงผู้พิพากษา หรือตุลาการ ผู้มีอำนาจเผด็จการและเป็นเพียงผู้ให้รางวัล หรือลงโทษ ความจริงของศาสนา โดยเฉพาะท่าทีต่อพระเจ้า เป็นการเปิดทางให้แต่ละบุคคลขึ้นไปสู่ระดับที่จะนำไปสู่ความสมบูรณ์ เป็นหนทางไปสู่ระดับของภาวะที่สมบูรณ์ ที่มนุษย์แต่ละคนจะพบความสมบูรณ์และเสรีภาพที่แท้จริง ซึ่งอยู่เหนือความจำกัดของชีวิตในสภาพปัจจุบัน

ก. ความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า) คือ พื้นฐานศักดิ์ศรีของมนุษย์

เมื่อเราได้ทบทวนความจริงของศาสนา ทำให้เข้าใจได้ว่า ความจริงในศาสนา และความเชื่อถึงพระเจ้า เป็นหนทางที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ ไม่ใช่การบีบบังคับความตั้งใจของตน การนับถือศาสนาหรือความเชื่อถึงพระเจ้าไม่เป็นอุปสรรคขัดแย้งกับเสรีภาพและศักดิ์ศรีของมนุษย์ ตรงกันข้าม จะทำให้เกิดความเข้าใจว่าศักดิ์ศรีและเสรีภาพที่แท้จริงของมนุษย์มีพื้นฐานอยู่ที่พระเจ้า กล่าวคือ มนุษย์เริ่มมีศักดิ์ศรีและเสรีภาพอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเขาสามารถออกนอกเหนือเงื่อนไขและความจำกัดต่างๆ ของชีวิต ความสำนึกนี้ช่วยให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับความหมายและบทบาทของศาสนา แทนที่จะเห็นว่าศาสนาเป็นการชดเชยข้อบกพร่องของมนุษย์ หรือเป็นวิธีจำกัดหรือทำลายเสรีภาพ ทำให้คนเป็นทาสของพระเจ้าหรือของธรรมะ แต่ทว่า เราคงจะเข้าใจว่าเป็นการมองชีวิตมนุษย์อีกมุมหนึ่ง เป็นการยกย่องธรรมชาติของมนุษย์ว่า มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะมุ่งไปถึงความสมบูรณ์ที่อยู่เหนือกว่าปรากฏการณ์ต่างๆ ของโลกนี้ นี่คืออุตรภาพ ซึ่งเป็นคุณค่าและศักดิ์ศรีที่แท้จริงของมนุษย์

ข. มนุษย์มีธรรมชาติมาจากพระเจ้า การบรรลุความสมบูรณ์ต้องดำเนินตามแนวทางของพระเจ้า

ในเรื่องนี้ ขอนำแนวคิดของพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ที่ดำเนินตามแนวคิดของนักบุญโทมัส อาไควนัส พระสันตะปาปาฯ ทรงอธิบายว่ามนุษย์เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า พระองค์ประทานพระพรให้มนุษย์มีคุณลักษณะพิเศษ คือ จิต ซึ่งเป็นคุณค่าภายใน จิตนี้เป็นพื้นฐานของความรู้สำนึก เสรีภาพและความสัมพันธ์กับผู้อื่น อย่างไรก็ตามมนุษย์ยังมีความจำกัด มนุษย์ไม่อาจบรรลุถึงความสมบูรณ์ของชีวิตได้ เพราะความสมบูรณ์ของชีวิต คือ การมีชีวิตนิรันดรในพระเจ้า (ความรอดพ้น) ดังนั้น ท่าทีต่อพระเจ้าจึงไม่ใช่มาจำกัดศักยภาพของมนุษย์ แต่เนื่องจากมนุษย์มีธรรมชาติที่ขึ้นกับพระเจ้าตั้งแต่ต้น มนุษย์จึงต้องใช้ศักยภาพที่ได้รับจากพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตตามสนองพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อมุ่งสู่ความรอดพ้นในพระเจ้า ดังนั้น การที่มีความคิดว่าพระเจ้าเป็นอุปสรรคต่อการใช้เสรีภาพของมนุษย์ จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเสรีภาพต้องสอดคล้องกับธรรมชาติมนุษย์ ในเมื่อธรรมชาติมนุษย์ขึ้นกับพระเจ้า ดังนั้น เสรีภาพที่ถูกต้องจึงหมายถึงการตัดสินใจเลือกกระทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายของชีวิตนั่นเอง

4.3.4 หนทางไปสู่ความจริงของศาสนา (ความรอดพ้น)

ก. วิธีการ/ความจริงของวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะรู้ความจริงทั้งหมด

ในโลกตะวันตกปัจจุบัน ทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญามีความสำนึกมากขึ้นถึงขอบเขตจำกัดของวิทยาศาสตร์ ในงานค้นคว้า นักวิทยาศาสตร์มีประสบการณ์โดยตรงกับขอบเขตจำกัดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถอธิบาย และให้เหตุผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกมากขึ้น แต่เขาต้องพบเหตุการณ์บางอย่างที่เขารู้ว่าจะอธิบายไม่ได้ตราบใดที่เขาใช้วิธีการเฉพาะของวิทยาศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่เขาจะพยายามเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ต่างๆ นี้ไปตามทางใดทางหนึ่ง ถ้าจะบอกว่ามันเกิดมาอย่างนี้โดยบังเอิญก็เท่ากับว่าไม่ตอบ เรื่องของวิวัฒนาการเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายถึงกระบวนการของมันคือมันเกิดขึ้นอย่างไร แต่เมื่อจะสงสัยว่าทำไมวิวัฒนาการนี้มุ่งไปถึงชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้นทุกทีจนถึงชีวิตมนุษย์เอง เขาไม่มีคำตอบ จำเป็นต้องใช้เหตุผลหรือวิธีการคิดแบบอื่น ต้องอาศัยวิธีการของปรัชญา เพราะว่าวิทยาศาสตร์ขาดข้อมูลที่จะตอบปัญหานี้ได้ประสบการณ์แบบนี้ช่วยยอมรับว่าความรู้ของเรามีหลายรูปหลายวิธี วิธีการของวิทยาศาสตร์ไม่เป็นวิธีเดียวที่จะรู้ความจริงทั้งหมดที่มีอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากในเขตของมัน แต่ยังจำเป็นต้องยอมรับและเคารพวิธีการอื่นๆ และสุดท้ายวิทยาศาสตร์และศาสนาจะอยู่ด้วยกันได้เมื่อเคารพอัตลักษณ์ของแต่ละศาสตร์




ข. วิธีการ/ความจริงของวิทยาศาสตร์ กับวิธีการ/ความจริงของศาสนาต่าง ช่วยมนุษย์ในการรู้ความจริงที่กว้างขึ้น

ในเรื่องนี้ เตยาร์ด เดอ ชาร์แดงค์ (Teilhard de Chardin, ค.ศ. 1881 – 1955) ได้ช่วยให้วิทยาศาสตร์และศาสนาคืนดีกัน ท่านได้ศึกษาค้นคว้าในด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องของวิวัฒนาการ และท่านได้แสดงว่าข้อมูลหรือข้อสรุปต่างๆ ของวิทยาศาสตร์ว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อความเชื่อในความจริงของศาสนา (โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องพระเจ้า) ยิ่งกว่านั้น กลับเป็นหนทางช่วยให้มีความเข้าใจและความรู้ที่ถูกต้องมากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า ผู้สร้างโลก วิทยาศาสตร์ไม่ได้พิสูจน์ว่าไม่ต้องมีพระเจ้า แต่กลับมาเป็นวิธีแสดงว่า พระองค์ทรงสร้างโลกจักรวาล พืช สัตว์ และมนุษย์ โดยอาศัยพลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อจะสร้างโลก ให้มีรูปแบบที่เราเห็นทุกวันนี้ (ยัง ดังโตแนล, 2551)

ค. ความจริงของศาสนา เป็นความจริงคนละระดับกับวิทยาศาสตร์

ในเรื่องนี้ แนวคิดและวิถีชีวิตของชาวตะวันออกช่วยให้เราเข้าใจถึงท่าทีต่อความจริงของศาสนาได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอัตลักษณ์ของปรัชญาตะวันออกที่มีลักษณะเป็นปรัชญาศาสนาและปรัชญาชีวิต และการพิจารณาวิถีชีวิตของชาวตะวันออก (เอเชีย) ที่เน้นการนำปรัชญามาเป็นวิถีชีวิต มากกว่าการใช้เหตุผล (สติปัญญา) เพื่อโต้แย้ง ถกปัญหาในเชิงตรรกวิทยา ช่วยให้เราเข้าใจว่าระบบของวิทยาศาสตร์และระบบศาสนาอยู่กันละระดับ แต่ไม่ขัดแย้งกัน และสามารถกลมกลืนในตัวมนุษย์ได้ (ดังเช่นวิถีชีวิตของชาวตะวันออก)

ถ้าวิทยาศาสตร์ใช้ความเป็นเหตุ เป็นผลเป็นหลักสำคัญ ศาสนาก็ใช้ความสำนึกภายในจิตใจเป็นพื้นฐาน ศาสนาเป็นสิ่งที่ทำให้เกิด “ความสุขใจ” ในขณะที่วิทยาศาสตร์ช่วยให้ “สุขกาย” วิทยาศาสตร์นำความสะดวกมาให้มนุษย์ก็จริง แต่ความหมายของชีวิต หรือโลกทัศน์เกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตจากศาสนา และการประกอบพิธีทางศาสนานั้นเป็นวิธีช่วยให้เข้ากับโลกทัศน์ให้เข้าที่ในระบบของจักรวาลและสังคม การประพฤติแบบนี้ในอีกแง่หนึ่งแสดงให้เห็นว่า ศาสนาไม่ต้องการหลักหรือพื้นฐานในด้านเหตุผลเป็นสำคัญ แต่อยู่บนพื้นฐานของความสำนึกภายในจิตใจมากกว่า

ง. ความจริงของศาสนา คือ แนวทางการพัฒนาชีวิตสู่การมีชีวิต (การเป็นบุคคล) ที่สมบูรณ์

ในเรื่องนี้ แนวคิดของนักปรัชญากลุ่มบุคคลนิยมช่วยให้เราเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น วิธีการของนักปรัชญาบุคคลนิยม ไม่ได้เริ่มต้นจากวิทยาศาสตร์เลย แต่เริ่มที่การพิจารณาการเป็นบุคคลของมนุษย์ มนุษย์ในฐานะที่เป็นบุคคลมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง มีอะไรที่เป็นส่วนประกอบ หรือเงื่อนไขสำหรับการดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ วิธีนี้เป็นการเปิดหนทางนำไปสู่ศาสนา เพราะว่าชีวิตมนุษย์ไม่เป็นเพียงแต่เรื่องชีววิทยา ชีวิตเป็นข้อลึกลับชนิดหนึ่งที่ต้องมีความหมาย ต้องมีเป้าหมายที่อยู่นอกวงของกายภาพ ในอีกแง่หนึ่ง นักปรัชญาแนวบุคคลนิยม เช่น G. Marcel (ค.ศ. 1889 – 1973) E.Mounier (ค.ศ. 1905 – 1950) P. Ricoeur (ค.ศ. 1913 - 2005) เสนอความคิดว่า ศาสนา คือ แนวทางการดำเนินชีวิตมุ่งไปถึงการเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ (ยัง ดังโตแนล, 2551)

5. สรุปประจำบท

ความจริงของศาสนามีพื้นฐานบนธรรมชาติมนุษย์ ศาสนาเป็นวิถีชีวิตที่สะท้อนถึงธรรมชาติมนุษย์ที่ต้องการมุ่งสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ โดยเชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพ (หรือได้รับศักยภาพ) ที่จะพัฒนาตนเองสู่ความจริงสูงสุดได้ จึงสรุปความสำนึกและการแสดงออกในการนับถือศาสนาในรูปแบบต่างๆ โดยพิจารณาได้จาก

5.1 ธรรมชาติมนุษย์ ที่เป็นทั้งกายและจิต (สัญชาตญาณและสติปัญญา) ที่ต้องได้รับการตอบสนองทั้งระดับกายภาพและอุตรภาพ

5.2 ธรรมชาติของศาสนา คือ วิถีชีวิตสู่ความรอดพ้น อันประกอบด้วยส่วนที่เป็นสถาบันและความเชื่อส่วนบุคคล เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตสู่ความรอดพ้น มนุษย์มีมโนภาพศาสนา (และต่อความจริงสูงสุด) แบบไหน

5.3 อย่างไรก็ตาม แม้มนุษย์จะมีมโนภาพของศาสนาแบบไหนก็ตาม อย่าลืมธรรมชาติมนุษย์ เพราะศาสนาคือ “วิถีของชีวิตมนุษย์สู่ความรอดพ้น” เราจำเป็นต้องพิจารณาท่าทีการนับถือศาสนาในรูปแบบต่าง ๆ ของมนุษย์โดยมองคุณลักษณะทั้งครบ และภาวะของมนุษย์ที่อยู่ในเงื่อนไขของกาลเวลาด้วย

ความจริงในศาสนาช่วยให้เราตระหนักว่า มนุษย์แต่ละคนยังขาดความสมบูรณ์ครบครันในการเป็นบุคคลคือในความรู้ ในเสรีภาพ การเป็นตัวของตัวเอง ความสมบูรณ์ครบครันนี้จะเกิดมาไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เปิดตัวเองสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องสัมพันธ์กับผู้ที่สมบูรณ์กว่ามนุษย์ ผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ เหนือโลก และที่สมบูรณ์อยู่แล้ว แน่นอนแต่ละศาสนาจะเข้าใจผู้สมบูรณ์นี้ตามรูปแบบที่แตกต่างกัน อาจจะเรียกว่า “นิพพาน” หรือจะเรียกว่า “พระเจ้า” แต่ทุกศาสนาบอกว่ามนุษย์ต้องสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือผู้ใดผู้หนึ่งที่อยู่เหนือมนุษย์เหนือโลก เป็นการตอบสนองความปรารถนาที่อยู่ลึกๆ ในจิตใจของมนุษย์ และเป็นพละกำลังทำให้มนุษย์ดำเนินชีวิตมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์ ณ ที่นี้ เราอยู่ห่างไกลจากขอบเขตของวิทยาศาสตร์แล้ว แต่จำเป็นต้องขึ้นไปถึงระดับนี้เพื่อจะพบความหมายแท้ของศาสนา คือการมุ่งสู่เป้าหมายแท้จริงของชีวิตมนุษย์ (ยัง ดังโตแนล, 2551)